วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

อยากเป็นเด็ก เพื่อลดภาระการเป็นผู้ใหญ่ของตนเอง


จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร


รู้สึกเหมือนกันมั้ยครับว่า บางครั้งก็อยากปลดเปลื้องภาระที่พันธนาการรอบตัวออกไปบ้าง นับวันก็ดูเหมือนเราจะผูกกับสิ่งรอบข้างที่เราพยายามสร้างเงื่อนไขด้วยตลอดเวลา เป็นความรัดตรึงโดยไม่ตั้งใจ

อ่านหนังสือเล่มเล็กๆก่อนนอนเมื่อคืน สะดุดกับคำว่า หลายครั้งที่พยายามทำตัวเป็นเด็กเพื่อลดภาระการเป็นผู้ใหญ่ของตัวเอง หรือเพื่อหลีกหนีไปจากวัยผู้ใหญ่ที่บางครั้ง สับสน วุ่นวายและโหดร้ายเหลือเกิน


น้องชาย ออกเวรขับรถมาเกือบถึงบ้าน โทรศัพท์มาชวนจิบกาแฟ..
ผมตกลงโดยที่ไม่ได้เตรียมอะไรมาก เปลี่ยนเสื้อผ้าก็ออกไปพร้อมน้องชายเลย


ความจริง บรรยากาศการจิบกาแฟเป็น บรรยากาศที่ผมชอบ ผมชอบทอดเอื่อยอารมณ์กับร้านกาแฟเงียบ แต่ไม่ร้างผู้คน ผมคิดว่าร้านกาแฟมีมุมให้เราได้ผ่อนคลายและมีมิตรที่ทำให้เราได้มอง ไม่เหงา เสียงเพลงเล้าโลมอารมณ์เบาๆ แค่นั้นเอง...ส่วนมนต์เสน่ห์ของกาแฟนั้นคิดว่ามันไม่เท่าไหร่สำหรับผม
ผมชอบอยู่กับที่ และ ผมชอบเดินทางพอๆกัน ก็แล้วแต่บางอารมณ์


พักหลังเดินทางบ่อยๆ เป็นภาระเรื่องงานที่ผมสนุกกับมันเสมอ
พรุ่งนี้เดินทางไปแม่สอด มีเวลาแค่คืนเดียวที่แม่สอด ก่อนเดินทางไปชากังราว และสองแคว เป็นโปรแกรมที่ผมวางไว้ ...นึกบรรยากาศที่จะไปเที่ยว ในขณะที่ทำตัวเงียบซอกมุมแห่งร้านกาแฟ

ที่นี่...ร้านกาแฟ
เราคุยกัน สัพเพ เหระ เรามักจะคุยกันทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิตช่วงสั้นๆที่ไม่ได้เจอกัน เหมือนกับว่ามากมายเหลือเกิน มีประเด็นคุยตั้งมากมาย และเราพบว่า เรื่องที่คุยส่วนใหญ่ก็เรื่อง สังคมทั้งนั้น แม้ช่วงหลังจะออกแนว ทุกขภาวะทางสังคม เสียมากกว่า


วันนี้เรารับเรื่องของสังคมเข้ามาในวงสนทนาบ่อยขึ้น...จนเป็นส่วนหนึ่งของธรรมเนียมในวงพูดคุย
ผมมีเรื่องจะคุยกับพี่หลายเรื่องเลยครับ- - -เสียงน้องชายชวนคุย และเราคุยกัน
ช่วงเช้าพี่รอน โทรมาคุย เรื่องปัญหาของเมืองบ้านเกิดของเรา เป็นปัญหาที่ยังไม่จบและมีปัญหาใหม่ๆต่อไปคุยกันเหมือนยังไม่จบ(ก็ไม่จบจริงๆ)


MSN กับเพื่อนจิตแพทย์ ที่ทำงานด้วยอุดมการณ์ที่บ้านเกิด บ่นเรื่อง ทุกขภาวะทางสังคม ที่บ้านของเขา และด้วยความเป็นแพทย์เขาบอก อุบัติการณ์ ของโรคที่เกิดจากแรงเหวี่ยงของทุนนิยมและสุดท้ายเขาบอกผมว่า ชาวบ้านที่นี่ต้อนรับปรากฏการณ์นั้นอย่างดุษฎี แต่ผมแย้งในใจว่าไม่จริงหรอก เขาจำยอมต่างหาก ...เราหยุดการสนทนาไว้แค่นั้น


อาจารย์นักพัฒนาท่านหนึ่งโทรศัพท์มาหาผมในช่วงเช้าของวัน  พูดคุยปัญหาของบ้านเกิดของผม การแลกเปลี่ยนนั้น ถึงแม้ท่านจะให้กำลังใจผมเสมอแต่ผมก็ยังรู้สึกถึงความท้อแท้ของตนเองในที อาจารย์เองก็คงรู้สึก สุดท้ายท่านถามว่าผมจะทำยังไงต่อ  ผมตอบว่า ไม่รู้เหมือนกัน..ครับ อาจารย์ อาจารย์ท่านหัวเราะตามสาย ผมก็หัวเราะ...
เป็นเช่นนี้เสมอ...


ผมรู้สึกว่าพันธการที่เราสร้างเงื่อนไขใหม่ๆให้กับตัวเอง เริ่มผูกเกลียวมากขึ้นเรื่อยๆ
ผมถึงบอกว่าอยากกลับไปเป็นเด็กจัง...

หลายครั้งที่พยายามทำตัวเป็นเด็กเพื่อลดภาระการเป็นผู้ใหญ่ของตัวเอง หรือเพื่อหลีกหนีไปจากวัยผู้ใหญ่ที่บางครั้ง สับสน วุ่นวายและโหดร้ายเหลือเกิน
แต่เป็นแค่เพียงความคิดครับ
เด็กชายทูโล ประดิษฐ์ ว่าวของเขาขึ้นมาเพื่อ เป็นเครื่องมือสอยดาว "อะคาบาร์" ดาวทารกวัยแสนปีมาไว้ในกำมือ แล้วสอดไว้บนคาคบไม้เป็น "ต้นไม้ดาว" ให้แสงสว่างและความอบอุ่นแก่ทุกคนในหมู่บ้าน...
วรรณกรรมนี้เป็นวรรณกรรมแห่งความฝัน แต่บอกถึงความตั้งใจของเด็กชายตัวเล็กๆที่อยากทำตามฝัน และเขาก็ทำได้ สิ่งที่ทำเขาคิดถึง ทุกๆคนในหมู่บ้าน
อ่านแล้วมีความสุขดีครับ- - -นิทานประโลมฝัน แต่สร้างพลังใจได้เป็นอย่างดี
จริงๆแล้วอยากให้บันทึกนี้เชื่อมกับ "Gift from Acabar" เล่มนี้ เพราะผมมีความฝัน เช่นเดียวกับทูโล บางครั้งฝันที่ผมฝันทำไม่ได้ แต่ก็มีความสุขที่ได้ฝันครับ
----------------------------------------------------------------------
อยากอ่านกันไหมครับ!!!
ของขวัญจากอะคาบาร์(Gift of Acabar)
เรื่องราวประทับใจของเด็กชายผู้จับดาวได้ดวงหนึ่ง แล้วเรียนรู้จากดาวดวงนั้นว่า ความเร้นลับแห่งสรวงสวรรค์นั้นอาจค้นพบได้บนพื้นโลกนี่เอง....



All Tulo had wanted was some light and warmth to sustain him and his tiny sister through the terrible storm. But the star, which he caught in the folds of his red kite, promised far more than that. Here is the shining joyful message the star Acabar gave to Tulo—a message meant not only for the boy but for all those who dream of changing their lives for the better.

ไม่มีความคิดเห็น: