วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Departures: ความสุขนั้นนิรันดร

Departures: ความสุขนั้นนิรันดร




จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร



ความสวยงามของการเติบโตที่ผ่านการบ่มเพาะ ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่มากกว่าสิ่งใดทั้งหมด ในฐานะ “ผู้ให้” แม้ไม่เคยเอื้อนเอ่ยถึงสิทธิของการให้และเบื้องหลังหนักหน่วงที่ผ่านมา ความรู้สึกดีๆที่มอบให้เป็นความภูมิใจของคนข้างหลัง ความรู้สึกที่เป็นพลังอย่างยิ่งนี้ หากไม่กล่าวเกินเลยไปคือ ความรู้สึกของคนเป็น Facilitator 



ความสำเร็จที่เกิดขึ้นแต่ละช่วงของเวลา เป็นเสมือนกำลังใจให้คนทำงาน มุ่งมั่นที่จะทำงานห้วงต่อไปให้ดีที่สุด ดอกผลของความทุ่มเท แปรเปลี่ยนไปเป็น “ความสำเร็จ” ของกระบวนการเรียนรู้ที่สร้างพลังให้กับคนและสังคม



หลังจากแยกวงออกจากวงออเคสตร้า ไดโกะ อยู่ในสถานะของคนตกงาน ความสับสนถึงเส้นทางที่จะเดินไปของเขาข้างหน้า มืดมน ดับวูบไปพร้อมกับเสียงเพลงบรรเลงอันไพเราะที่บรรเลงประโลมเป็นครั้งสุดท้าย ไดโกะ จำเป็นต้องขายเซลโล เครื่องดนตรีที่เขารักและหามาเป็นเจ้าของด้วยราคาที่แสนแพงไป เขาเดินทางออกจากเมืองหลวงแล้วกลับไปในสถานที่อบอุ่นและปลอดภัยคือที่บ้านเกิด จังหวัดยามางาตะ พร้อม มิกะภรรยาคู่ชีวิต...การเริ่มต้นใหม่ของไดโกะถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของความงดงามของการต่อสู้ทั้งในโลกของความเป็นจริงและต่อสู้จิตใจของตัวเองซึ่งหนักหนากว่าการต่อสู้ใดๆหลายเท่า




Turning Point : จุดเปลี่ยนในชีวิต


การไขว่คว้าสิ่งที่ทำให้เขาและครอบครัวอยู่รอด..เขาได้งานใหม่ ที่บังเอิญเห็นประกาศหางาน “Working with departures” ด้วยคำว่า  Departuresทำให้เขาตัดสินใจสมัครทำงาน ด้วยความเข้าใจว่าเป็นบริษัทที่ทำหน้าที่นำท่องเที่ยว(Departures แปลความหมายได้ 2 อย่างคือ การเดินทางและการตาย) แต่ชีวิตที่เป็นเสมือนพรหมลิขิต งานที่ว่านั้นเป็นงานในบริษัทที่ทำธุรกิจจัดงานศพ เจ้าของบริษัทเป็นชายชรา ชื่อ ซาซาฉิ ในที่สุดเขาก็ผ่านเข้าไปทำงาน เป็นโนคังฉิ หรือคนบรรจุศพ ไปโดยเหตุบังเอิญ แต่ซาซาฉิ บอกกับเขาว่า

          “Anyway,Fate brought you here”  

          โชคชะตาชักพาเธอมาที่นี่


และก็เป็นโชคชะตาอย่างแท้จริง งานโนคังฉิกับอาชีพเดิมของไดโกะที่เป็นหนึ่งในวงออเคสตร้าที่หรูหรานั้นแตกต่างกันอย่างลิบลับ บททดสอบของโนคังฉิมือใหม่ ดำเนินไปอย่างเข้มข้น พร้อมกับการต่อสู้กับหน้าตาทางสังคม และการต่อสู้ภายในของเขา ที่ต้องเผชิญ แม้กระทั่งภรรยาที่เขารักมากที่สุดยังไม่ล่วงรู้ถึงความลับที่เขาจงใจปิดบัง


บททดสอบที่หนักหน่วง และ “งานมันหนักเกินไปสำหรับครั้งแรก” แต่แบบทดสอบของไดโกะเหมือนจะทวีความยากขึ้นเรื่อยๆ เส้นทางที่ถูกจัดวางอย่างประณีตในมุมของโชคชะตา it was fate” 


เสียงคำพูดซาซาฉิเหมือนกับว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเช่นนั้นเอง”
You were born do this คุณเกิดมาเพื่อสิ่งนี้


วันหนึ่งเมื่อภรรยารับรู้และทนรับกับความจริงไม่ได้ เธอตัดสินใจหนีเขาไป ...การใช้ชีวิตตามลำพังเป็นบททดสอบของไดโกะอีกครั้ง บททดสอบที่เข้มข้นมากขึ้น ไดโกะเองก็เริ่มหวั่นไหวกับความศรัทธาที่เขามีอยู่ ความลึกซึ้งผ่านการงานทำให้เขาตรึกตรองอย่างสุขุม


เมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าเงื่อนไขใดๆก็ตาม ทางเลือกที่เปลี่ยนมุมมองใหม่คือ “มีศรัทธา” ในสิ่งที่ทำ เห็นแง่งามของสิ่งที่เป็นอยู่ และมุมที่ถูกปิดบังด้วยมายาคติที่ห่อหุ้มไว้อย่างมิดชิด จะค่อยๆเปิดเผยความงดงาม ความจริงของสัจจะ


          “Unless you want to die,You eat ,and if you eat,eat well.
          “ถ้าเรายังไม่อยากตาย เราก็ต้องกิน และเมื่อเรากิน เราต้องกินให้อร่อย” ซาซาฉิ กล่าวถึงนัยยะของความจริงในชีวิตให้กับไดโกะ


จริงๆ แล้วในจุดที่เขาหวั่นไหวมากเกินที่ต้านทานการต่อสู้ของตัวเอง เขาตั้งใจจะไปบอกกับซาซาฉิว่า จะขอเลิกอาชีพโนคังฉิ !!! แต่ก็ด้วย ถ้อยคำที่แฝงไปด้วยความหมายและศรัทธาในการมีชีวิตอยู่จากซาซาฉิ...เขาจะยังอยู่

 “The job grows on you,doesn’t it.  พนักงานหญิง(เลขานุการของท่านประธานบริษัท)ของบริษัททำศพ ถามไดโกะ


งานของโนคังฉิ ที่ไดโกะได้เรียนรู้ผ่านการทำงานในอีกมุม เป็นความงามของฉากสุดท้ายของชีวิต ก่อนที่จะนำศพเข้าโลงและนำไปเผา จากนั้นเป็นจากลาที่ไม่มีวันกลับ มีความหมายในฐานะความทรงจำสุดท้ายที่เป็นความสุขก่อนจากกันชั่วนิรันดร์ พิธีกรรมก่อนการนำศพเข้าโลง เป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับการกล่าวคำอำลาและคลี่คลายอารมณ์ที่เกี่ยวพันกันของสายใยที่รัดตรึงกันอยู่...


นอกเหนือจากความเรียบง่าย ความอบอุ่นของวิถีชีวิต วิถีครอบครัว สังคมที่ชนบทญี่ปุ่นแล้ว มุมมองที่ลึกซึ้ง คือ การมองมุมด้านกลับของชีวิตที่ตรงข้ามกับความตาย ที่คนทั่วไปถือว่าเป็นความจริงที่น่ากลัว ไม่อยากพบเจอ และไร้ชีวิตชีวา เศร้าโศก แต่ในบริษัททำศพกลับเป็นบริษัทที่เต็มไปด้วยความจริงของชีวิตที่เป็นชีวิตธรรมดา งดงาม และการเฉลิมฉลองราวกับว่า เรื่องการตายไปจากกัน เป็นเพียงแค่เรื่องราวธรรมดาที่ทุกคนต้องพบเจอ...มันเป็นเรื่องธรรมดา ซีนของความจริงเหล่านี้ในชีวิตจึงไม่ได้ห่อเหี่ยว โศกสลดอย่างที่ควรจะเป็น...นั่นคือ “สัจธรรม”


“And a bove all, a geltle affection,everything done peacefully and beautifully.”

พิธีกรรมของโนคังฉิแบบญี่ปุ่นจึงเป็น “วาระที่สำคัญ”ครั้งสุดท้าย เป็นการปลอบประโลมใจ คนที่พลาดโอกาสบางเรื่องของชีวิตที่พึงให้แก่กัน จวบคนวาระสุดท้ายของชีวิต ภาพยนตร์จึงสื่อความห้วงเวลาสำคัญที่ทำให้หลายคนที่ชมรู้สึกผิด (Guilt) ตามอารมณ์ของการดำเนินเรื่อง สะสมความรู้สึกจนถึงฉากสำคัญ ที่เป็นหลุมดัก (trap) ท้ายสุด เสียงสะอื้นร่ำไห้ของผู้ชมจึงท่วมท้น


ความลึกซึ้งของบทภาพยนตร์อยู่ที่ตัวไดโกะเอง ที่มีปมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพ่อที่เขาคิดเสมอว่า พ่อหนีจากเขาไปในวัยเด็กกับเด็กสาวค้อฟฟี่ช้อป ความทรงจำที่หล่นหายพร้อมกับปมในใจที่ตกค้าง การชำระปมของไดโกะในฉากสุดท้ายของภาพยนตร์เป็นการ “ส่ง” การจากไปของพ่อของเขา ในวาระที่สิ้นลมหายใจ ไดโกะแต่งหน้าร่างที่ไร้ชีวิตของพ่ออย่างตั้งใจ ภาพของพ่อที่พร่าเลือนเด่นชัดมากขึ้นเป็นภาพที่สมบูรณ์ รอยแย้มยิ้มจากร่างไร้ชีวิต ส่งผ่านอารมณ์ไปที่ก้อนหินที่ทำหน้าที่สื่อสาร ก้อนหินผิวเรียบก้อนนี้พระเอกพบในมือของพ่อขณะที่กำลังตกแต่งร่าง ...ซึ่งก้อนหินเป็นวิธีการบอกถึงอารมณ์ในขณะนั้น (เป็นวิธีการที่ครอบครัวของไดโกะใช้ในตอนเป็นเด็ก) ก้อนหินผิวเรียบหมายถึงความสุข ในขณะก้อนหินขรุขระแสดงถึงความห่วงใย...และคุณพ่อของไดโกะมีความสุขในห้วงสุดท้ายของประตูแห่งการเดินทางชั่วนิรันดร์



การเดินทางอันเป็นนิรันดร์ (The Departure)ที่เรียกชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า Okuribito เป็นภาพยนตร์ที่งดงามที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง  ที่มีคุณเชิงวัฒนธรรม ที่เป็นศิลปะความเป็นอยู่ของธรรมชาติ เกิด ดับ ที่ล้วนแต่เป็นวาระสำคัญของชีวิต ตลอดระยะเวลา สองชั่วโมงในการชมภาพยนตร์เรื่องนี้เราได้สัมผัสถึง สุนทรียะผ่านภาพ เสียงและฉากเรียบง่าย เชื่อมร้อย ผูกโยงให้เห็นความเป็นไป ตลอดจนบุคลิกของตัวละครที่มีบทบาทและอิทธิพลซึ่งกันและกัน...ในชีวิตจริงก็เป็นเช่นนี้


ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากหนังสืออัตตชีวประวัติของคนทำงานอาชีพ โนคังฉิ จริงๆที่ญี่ปุ่น ผู้แต่งคือ Aoki Shinmon ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษในชื่อ Coffinman : The Journal of a Buddhist Mortician 


ข้อคิดจากภาพยนตร์คัดสรรเรื่องนี้ หากเราเชื่อมมายังประเด็น “กระบวนกร” หรือ Facilitator จะเห็นว่าทุกตัวละครต่างก็แสดงเป็นกระบวนกรที่แตกต่าง เข้มข้นตามสถานะ แต่โดยรวมเราเห็นการให้ความหมายและเรียนรู้ผ่านจังหวะชีวิต เราเห็นชีวิตสอนชีวิต เห็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเริ่มต้นเรื่องใหม่ หลังจากที่เรื่องราวเดิมได้จบไปแล้ว พื้นที่แห่งการเรียนรู้เปิดกว้างเสมอ



ซาซาฉิ หรือชายชราที่เป็นประธานบริษัท ถือว่าเป็น กระบวนกร(Facilitator)ที่ไร้เทียมทานมาก  การถ่ายทอดเพื่อการเรียนรู้ใช้ การทำให้ดู เป็นแบบอย่าง และที่สำคัญที่สุดคือ “ให้โอกาส” การใช้ประสบการณ์ที่ผ่านโลกมามากกว่า มีวิถีการใช้ชีวิตที่เรียนรู้จนเกิดความสมดุลของชีวิต พยายามชี้ชวนให้ไดโกะเห็นชีวิตในอีกแง่มุมหนึ่ง ไม่บังคับ ไม่ขืนใจเพียงแต่ชวนกันคิด ร่วมกันดู และความโดดเด่นของภาพยนตร์ญี่ปุ่นอีกอย่างหนึ่งคือ สัปปายะของสถานที่ที่ดูเรียบง่าย เอื้อต่อการเข้าถึงการเดินทางด้านในได้ง่าย วัฒนธรรมการกินอาหารที่เป็นแบบสุนทรียะ พิถีพิถันประณีต หรือแม้แต่กระบวนการการแต่งตัวศพผู้ตาย ที่เหมือนกับว่าเราได้ชมความงามจากศิลปะชั้นสูง ที่ชมแล้วเกิดความอิ่มเอมใจ มีความสงบสุข  อย่างไม่น่าเชื่อว่านี่คือโศกนาฏกรรมที่งดงามของการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม




เอก จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร




2 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

การเดินทางอันเป็นนิรันดร์ เส้นทางเดินที่งดงามผ่านการเรียงร้อยถ้อยคำที่ทำเอาคนอ่าน ไม่วางสายตา ขอบคุณนะคะ

Unknown กล่าวว่า...

การเดินทางอันเป็นนิรันดร์ เส้นทางเดินที่งดงามผ่านการเรียงร้อยถ้อยคำที่ทำเอาคนอ่าน ไม่วางสายตา ขอบคุณนะคะ