วงสนทนาเล็กๆ ที่มีพ่อครูภูมิปัญญา ๓
ท่านได้แก่ครูรุ่งโรจน์ เปี่ยมยศศักดิ์ ครูภูมิปัญญาสาขาจิตรกรรม และสื่อผสม พ่อครูเสถียร
ณ
วงศ์รักษ์ ครูภูมิปัญญาสาขาวิจิตรศิลป์ และ พ่อครูอานนท์ ไชยรัตน์พ่อครูภูมิปัญญาสาขาศิลปกรรมที่เชี่ยวชาญด้านกลองล้านนา
ประเด็นสำคัญที่ตั้งโจทย์พูดคุยคือ “การจัดการความรู้ครูภูมิปัญญาไทยสู่สากล”
หากแปลงโจทย์นี้ให้เข้าใจง่ายคือ กระบวนการเรียนรู้เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาองค์ความรู้ของครูภูมิปัญญาเพื่อการดำรงอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงนั้น
มีแนวทางอย่างไร?
คำถามใหญ่และเป็นสถานการณ์ที่ท้าทายให้พ่อครูภูมิปัญญาซึ่งเป็นผู้รักษา
ธำรงภูมิปัญญาไว้ปัจจุบัน ชวนกันมองไปยังอนาคตจากพรุ่งนี้...
คำว่า “สากล”
บางทีเราก็คิดถึงว่า ครูภูมิปัญญาไทยอยู่ตรงไหนของสากล เพราะเรามีพื้นที่สื่อน้อย ซึ่งก็มีผลอย่างมากในการแสดงอัตลักษณ์ของเรา
พ่อครูอานนท์ เปรยถึงอนาคตของครูภูมิปัญญากับสถานการณ์ที่เป็นจริง
เมื่อจะต้องก้าวไปข้างหน้าโดยผ่านคำว่า “สากล”
แต่ในขณะเดียวกันยังไม่ชัดเจนในจุดที่ยืนอยู่ของครูภูมิปัญญา
“บ่ดีตี๋กล๋องแข่งฟ้า” แต่วันนี้ จำเป๋นต้องตี๋ เพื่อหื้อมีเสียงพ่องก็ยังดี(ไม่ควรตีกลองแข่งเสียงฟ้า แต่วันนี้จำเป็นต้องตี เพื่อให้มีเสียงบ้างก็ยังดี)
ข้อความนี้ของพ่อครูอานนท์ เป็นความพยายามในการสื่อสารเพื่อสร้างพื้นที่ของตนเอง
แม้ว้าเสียงของวิถีการพัฒนากระแสหลัก กลบเสียงของกลุ่มคนเล็กๆที่ยึดมั่นในวิถีเดิมของตนเองอย่างเหนียวแน่นในบทบาทของผู้ที่จะสร้างกระบวนการเรียนรู้เพื่ออนาคตของภูมิปัญญา
มองไปที่การสร้างพื้นที่ของตนเองของครูภูมิปัญญา
ที่น่าจะได้ผลและมีพลังมากที่สุดคือ “พื้นที่สื่อ” ที่ทำหน้าที่เผยแพร่ผลงานและวิถีของครูภูมิปัญญา
พื้นที่สื่อที่ต้องการต้องเป็นสื่อหลักและสื่อที่เข้าถึงคนส่วนใหญ่ได้ง่าย
ข้อจำกัดที่ยังเป็น “อุปสรรค”ในการนำเสนอตัวตนของครูภูมิปัญญาไทย
ที่ต้องต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของสังคม
ดังนั้นรูปแบบการจัดการความรู้ครูภูมิปัญญาไทย จึงต้องสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
และเป็นการจัดการความรู้ที่มีพลังเพียงพอในการช่วยขับเคลื่อนองค์ความรู้ภูมิปัญญาควบคู่กับความรู้ที่หลากหลายในปัจจุบัน
หากเรารู้ต้นทุนทางสังคมของตนเอง
อันได้แก่ ทรัพยากรทางประวัติศาสตร์ ทรัพยากรทางภูมิศาสตร์ และทรัพยากรมนุษย์ ก็สามารถออกแบบ วางแผนการพัฒนาชุมชนไปได้
วิเคราะห์จุดอ่อนของสังคมสมัยใหม่
ผู้คนอ่อนแอ โดดเดี่ยวและไร้ความมั่นใจ ดังนั้นการสร้าง “พื้นที่กลาง”
ของชุมชนน่าจะเป็นทางเลือกสำหรับคนยุคใหม่ พื้นที่กลางนั้น
หากมองตามวิถีชีวิตและวัฒนธรรมแล้ว “ข่วงวัด”
น่าจะเป็นพื้นที่สำหรับใช้เป็นพื้นที่ทางสังคมสำหรับให้คนในสังคมมามีกิจกรรมเรียนรู้ร่วมกัน
บรรยากาศของวัดและวัฒนธรรมชาวพุทธจะกล่อมเกลาให้คนเอื้ออาทรและรักกัน ประเพณีและงานทางด้านศาสนาน่าจะเป็น
พื้นที่ทางสังคมที่เหมาะสมกับคนรุ่นใหม่ สามารถจัดการความรู้ผ่านพลังศรัทธาในศาสนา
ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือผ่านการใช้ศรัทธาเป็นเครื่องร้อยรัด
ให้ผู้คนเข้ามาสร้างกิจกรรมและการเรียนรู้ร่วมกัน
“เริ่มต้นด้วยตัวเอง มีความจริงจัง
จนเป็นที่ประจักษ์”
พ่อครูอานนท์ บอกถึงการเรียนรู้ผ่านครูภูมิปัญญาที่เป็นทั้งผู้สร้างงาน
และเป็นต้นแบบให้กับผู้คนในสังคม ภูมิปัญญาสำคัญมาก
เป็นราก เป็นต้นของการดำรงอยู่ของมนุษย์ ผู้คนส่วนหนึ่งละทิ้งของเก่า
ไปให้ความสำคัญกับสิ่งใหม่ ละทิ้งต้นทุนของตนเอง
ความหลากหลายของความรู้
ภายใต้ฐานความคิดที่ว่า ทุกอย่างไม่ได้สมบูรณ์ในตัวเอง ต้องพึ่งพาความหลากหลาย และ
เติมเต็มซึ่งกันและกัน
ประเด็นนี้เชื่อมไปยังศาสตร์การเรียนรู้ที่เป็นองค์ความรู้ภูมิปัญญา
กับองค์ความรู้สมัยใหม่ ที่ต้องเติมเต็มกันและกัน เป็น ภูมิปัญญาไทยที่อิงวิชาการ
เป็นทางรอดหนึ่งของการสืบทอดความรู้ (พ่อเสถียร)
แต่การที่ครูภูมิปัญญาไทยจะนำเสนอความรู้ภูมิปัญญาโดยอิงงานวิชาการและทฤษฏี
เหมือนนักวิชาการกระแสหลักนั้น เป็นเรื่องยาก
อาจทำได้ในครูภูมิปัญญาบางท่านเท่านั้นเอง
“ถามว่าผมตายสักกี่ชาติ จะวาดรูปได้เทียบชั้น ไมเคิล เองเจลโล”
ครูรุ่งโรจน์ กล่าวในวงสนทนา
นัยยะของประโยคนี้ครูรุ่งโรจน์กำลังจะบอกว่า องค์ความรู้ที่เป็นความรู้แฝง(Tacit
Knowledge)นั้นยากที่จะนำไปเปรียบเทียบผ่านมาตรฐานใดมาตรฐานหนึ่ง
แต่เป็นความเฉพาะของบุคคลๆหนึ่ง
ดังนั้นองค์ความรู้ที่เป็นภูมิปัญญาไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบหรือ
อิงงานวิชาการจนเกินไป จนสูญเสียคุณค่าของงานที่รังสรรค์ผ่านประสบการณ์จนเป็นภูมิปัญญา
รูปแบบการจัดการความรู้
ที่น่าสนใจของพ่อครูภูมิปัญญาไทยล้านนา ออกเป็นเป็นโมเดลได้ดังนี้
ภาพที่
๑ ภาพจำลองโมเดลการจัดการความรู้
โดยโมเดลนี้สามารถอธิบายได้ถึงกระบวนการการจัดการความรู้
ที่ทำให้ดู ให้เห็น (หัน)เป็นตัวอย่าง หรือ แสดงให้ดู
เพื่อสร้างความต้องการในการเรียนรู้ (เฮียน) เมื่อเรียนไปจะเกิดความชอบ
หลงใหล(หู๋ม)เกิดแรงบันดาลใจและกลายเป็นความรัก (ฮัก) ในที่สุด
ความรักจะกลายเป็น “จิตวิญญาณ” ของคนหนึ่งคนในที่สุด
การเกิดของความรู้ เป็นปรากฏการณ์ "เรอเนสซองซ์” ที่เป็นเสมือน การเกิดใหม่ ซึ่งเป็นการระลึกถึงศิลปะ
ซึ่งเคยรุ่งเรืองให้กลับมาอีก กระบวนการเกิดใหม่ เป็นการผลิตซ้ำทางวัฒนธรรม (Cultural
Reproduction) และเป็นการจัดการความรู้ที่เป็นวงจรธรรมชาติของความรู้
รูปแบบการถ่ายทอดความรู้ของครูภูมิปัญญา
โดยมีตัวของครูภูมิปัญญาเป็น “ทางผ่านของความรู้” กระบวนการถ่ายทอดความรู้ส่วนใหญ่จะมีรูปแบบของการเข้ามาเรียนรู้ของผู้ที่สนใจ
และเกิดจากการเข้ามาศึกษาดูงานของกลุ่มต่างๆ
การไปถ่ายทอดความรู้ในศูนย์การเรียนรู้ที่จัดไว้
ตลอดจนการเข้าไปสอนในหลักสูตรท้องถิ่น ในสถาบันต่างๆตั้งแต่ระดับประถมศึกษา
จนถึงอุดมศึกษา สำหรับพื้นที่ในการถ่ายทอดความรู้
ถือว่าเป็นประเด็นสำคัญเพราะพื้นที่สัมพันธ์กับขนาดของผู้รับการถ่ายทอด
ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็นพื้นที่ส่วนตัว จะเป็นลักษณะของการศึกษาดูงาน
หรือผู้สนใจที่เข้ามารับการเรียนรู้ และหากเป็นสถาบันก็มีกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ
พื้นที่ที่น่าสนใจและส่งผลต่อปริมาณการถ่ายทอดความรู้คือ
“พื้นที่สาธารณะ” ที่ใช้เป็นพื้นที่ในการแสดงผลงานภูมิปัญญา
ถือว่าเป็นการเรียนรู้ผ่านการชม
จึงมีการสร้างพื้นที่สาธารณะใหม่ๆที่มีพื้นที่ในการนำเสนอตัวตนของงานภูมิปัญญา
พื้นที่ที่น่าสนใจและสมคุณค่าของภูมิปัญญาคือ
“วัด” ในอดีตใช้ “ข่วงวัด” เป็นพื้นที่การเรียนรู้
การปะทะสังสรรค์ของผู้คนในวัดภายใต้บรรยากาศแห่งความศรัทธา
ความเอื้ออาทรจะร้อยรัดผู้คนให้เปิดใจรับความรู้ และเป็นบรรยากาศแห่งความดีงาม
การเรียนรู้จะเป็นการเรียนรู้เชิงบวกและมีพลัง
ทางเลือก
และทางรอดในการสืบสาน สังคายนาภูมิปัญญาในสถานการณ์ปัจจุบัน
มุมมองของการสนทนาให้ความสนใจในการแสดง
“อัตลักษณ์” ของตนเองของครูภูมิปัญญาไทยสู่สังคม ครูภูมิปัญญาไทยมองว่า “พื้นที่สื่อหลัก”
น่าจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการนำเสนอตัวตนและคุณค่าของครูภูมิปัญญาเพื่อให้สังคมได้รับรู้ในวงกว้าง
เชื่อว่าการสื่อสารผ่านสื่อหลักจะมีผลต่อการเรียนรู้ของผู้คนเกิดการยอมรับและสนใจ
ภาคภูมิใจในรากเหง้าของตนเอง
การเข้าถึงข้อมูลครูภูมิปัญญา
เป็นประเด็นสำคัญที่เสริมให้สื่อกระแสหลักเข้าถึงข้อมูลครูภูมิปัญญา
ดังนั้นการจัดทำฐานข้อมูลที่ครบถ้วนสมบูรณ์ เห็นแผนที่ภูมิปัญญาที่ชัดเจน
เข้าถึงได้ง่ายจากเครือข่ายออนไลน์ น่าจะเป็นเส้นทางลัดในการเปิดโลกภูมิปัญญา
องค์กรที่เข้ามาสนับสนุน
มีส่วนสำคัญในการผลักดัน ในการสร้างพื้นที่ให้กับครูภูมิปัญญา
ซึ่งปัจจุบันมีสภาการศึกษา ที่เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบ มีสมาคมครูภูมิปัญญาที่พยายามจัดตั้งขึ้นเองจากการคัดเลือกตัวแทนที่ยังไม่เป็นรูปร่างมากนัก
มีความคาดหวังว่าในอนาคตจะมีสถาบันภูมิปัญญาที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการพัฒนาระบบการจัดการความรู้และ
กลุ่มครูภูมิปัญญาอย่างแท้จริง
เครือข่ายครูภูมิปัญญาที่ช่วยเหลือ
เกื้อกูลกันในเครือข่าย ตลอดจนเกิดการสร้างกระบวนการเรียนรู้ในเครือข่าย
มีการผลักดันองค์ความรู้ครูภูมิปัญญาเข้าสู่ระบบการศึกษาทั้งในระบบการศึกษา
และนอกระบบการศึกษา
ในการถ่ายทอดต้องมีรูปแบบองค์ความรู้ภูมิปัญญาที่อิงฐานงานวิชาการ และมีแผนงานครูภูมิปัญญาที่เป็นรูปธรรม
และมีการจัดสรรงบประมาณในการดำเนินการอย่างเพียงพอ
เพื่อการคงอยู่ของภูมิปัญญา ต้องมีการค้นหาทายาทเพื่อสืบทอด
และหาช่องทาง
กลวิธีให้กับผู้คนที่ไม่ได้ละทิ้งภูมิปัญญาแต่ไม่รู้ว่าจะเข้าถึงภูมิปัญญาพร้อมกับใช้ประโยชน์จากภูมิปัญญานั้นๆได้อย่างไร
พันธกิจของชีวิต
ที่เป็นเหมือนหมุดหมายของปลายทางครูภูมิปัญญา
ความตั้งใจของครูภูมิปัญญาที่มองภาพอนาคตที่ไม่ไกลมากนัก
เป็นเหมือนเป้าหมายที่ครูภูมิปัญญาเองต้องทำภารกิจเพื่อให้ถึงจุดนั้น พ่อครูอานนท์
สล่ากลองล้านนา ให้ความสำคัญในการสืบทอดภูมิปัญญา สร้างทายาทในสิ่งที่พ่อครูเพียรทำ
และพ่อครูรุ่งโรจน์ คิดถึงการดึงรั้งให้ผู้คนหันกลับไปทบทวนต้นทุนทางสังคมของตนเอง
และหวนรำลึกถึงอดีต รื้อฟื้นองค์ความรู้เหล่านั้น
“ขอให้มีชีวิตอยู่เพื่อพัฒนาความเชื่อของตนเองในการที่จะสืบสานงานศิลป์บนพื้นฐานศาสนา”
พ่อครูรุ่งโรจน์บอกเป้าหมายและความคาดหวัง สุดท้ายพ่อครูรุ่งโรจน์
มองถึงภาพตนเองที่เป็น “สล่าโบราณอยู่ที่บ้านสร้างงาน”
ที่ครูมองว่าเป็นความสุขสุดท้ายที่อิ่มเต็มทางจิตวิญญาณของครูภูมิปัญญา
----------------------------------------------------------------------------------
จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร
เวทีถอดบทเรียนศักยภาพการจัดการความรู้ครูภูมิปัญญาไทยสู่สากล
โรงเเรมเชียงใหม่ภูคำ จ.เชียงใหม่
๔-๕ สค.๕๕
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น