เราหลงลืมอะไรหรือเปล่า ...?
ผมทบทวนตัวเองในระหว่างที่เดินผ่านผู้คน ท่ามกลางความวุ่นวายของเมืองหลวง ไม่รู้ว่ามีใครรู้สึกเหมือนผมบ้าง เมื่อเดินทางอยู่ที่ “อนุสาวรีย์ชัยฯ”
กลางเมืองหลวง...กับสายตาที่มองเห็น ที่นี่เราเห็นภาพมุมกว้าง
เราเห็นความหลากหลายของผู้คน
เราสัมผัสถึงอัตราเร่งของคนเหล่านั้นที่ตั้งหน้าตั้งตาเดินไปข้างหน้า
อย่างรีบเร่ง และผมเองเป็นหนึ่งในจำนวน "คนรีบเร่ง" พร้อมกับสายลม และหมอกควันพิษปะทะใบหน้า เช่นเดียวกับทุกคนในที่นั้น
ผมไม่เคยเดินเร็วขนาดนี้เมื่ออยู่บ้านนอก แต่มาอยู่ในเมืองหลวง วิถีที่นี่ก็สอนให้ผมต้องก้าวเท้าด้วยอัตราเร็วกว่าเดิมสองเท่า
เขาเดินทางกันไปไหน ทำไมรีบเร่งเหลือเกิน?
นั่นสิครับ!!! ผมก็ถามตัวเองอยู่เหมือนกันว่า เหนื่อยมากไหมกับการที่จ้ำอ้าวขนาดนั้น...
เราให้ความสนใจสิ่งที่อยู่บ้างหน้า
พยายามต้านทานแรงเสียดทานของเวลาให้มากที่สุด
ไม่เคยเลยที่จะหยุดมองรายทาง..เราหลงลืมและเพิกเฉยรายละเอียดบางอย่างไปรอบ
ตัวเราไปอย่างน่าเสียดาย
เวลาที่มีอยู่เท่าเดิม...แต่ทำไมรู้สึกว่าเวลาน้อยลง
หนังสือ
ที่ห้องพักผม เพิ่มปริมาณขึ้นทุกวัน
ช่วงหลังผมไม่เคยอ่านหนังสือจบเล่มแม้แต่เล่มเดียว
...แต่ก็เพียรซื้อหนังสือมาเรื่อยๆ สะสมไว้ ให้สัญญากับกับเองว่า “ไว้มีเวลา”
แล้วค่อยอ่าน แต่จนแล้วจนรอดก็หาเวลากลับมาอ่านให้จบไม่ได้
... หลายเล่มอ่านแล้วแต่ค้างเติ่ง รอสรุปรวบยอด
หลายเล่มปกยังใหม่ไม่ได้สัมผัส แม้แต่เนื้อใน
น่าเสียดาย...ตั้งคำถามหลายครั้งกับตนเองว่า เวลาเราหายไปไหนหมด?
สาระ
สมองที่เราเคยละเลียดอ่าน จากหนังสือเล่มโปรด อ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก
เหมือนคราที่อยู่บ้านนอก ...กลับไม่มีบรรยากาศแบบนั้นให้เห็นอีกแล้ว
เรามีเวลา คุยกันบ้างไหม?
ผมเปิดประตูห้างเข้าไปรับความฉ่ำเย็นของเครื่องปรับอากาศในเมืองหลวง ...แอบอ่านหนังสือฟรีอยู่ในร้านหนังสือชื่อดัง ผมให้เหตุผลว่า “ฆ่าเวลา”
ที่
นี่บรรยากาศเงียบงัน ทุกคนต้องจดจ่อกับหนังสือที่อยู่ในมือ
ซอกหลืบระหว่างชั้นวางหนังสือ หลายคนนั่งเอกเขนก
อ่านหนังสือในมืออย่างเอาจริงเอาจัง ...เงียบงัน
ผมนัดกับเพื่อนที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง
หลัง
จากใช้เวลากับร้านหนังสือ เราทักทายกันตามประสาเพื่อน
ก่อนที่จะนั่งลงคนละมุมโต๊ะเล็กๆ และต่างคน
ต่างก็กางโน้ตบุ้คส่วนตัวพร้อมเข้าไปใช้ชีวิตออนไลน์ green wifi ดีด MSN คุยกับเพื่อนตรงหน้า เพียงแค่ ๑ ฟุต
เขียนคำทักทายหยอกล้อเพื่อนไปว่า “นายอยู่ไหน?”
เขาตอบมาทันที โดยใช้ไอคอนแสดงอารมณ์ ตอบโต้...
เรามักทักทายกันเสมอเมื่ออยู่ต่างสถานที่กัน แต่ วันนี้เราอยู่ใกล้กันแค่เอื้อมถึง
“นี่เราจะคุยกันแบบนี้กันเหรอ” ...ผมหัวเราะ - - - เขาก็หัวเราะ แต่ละคนพลางปิดโน้ตบุ้คเก็บเข้ากระเป๋า ก่อนนั่งสนทนากัน
วันนี้เราคุยกันในวิถีประจำวันน้อยลง...และเราใช้ชีวิตในโลกออนไลน์มากขึ้น
เรากำลังถูกวิถีสมัยใหม่กลืนกิน ความงดงามของวิถีสังคมเดิม ไปทุกวัน ความเร่งรีบ ความเงียบงัน และความเฉยชาเข้ามาแทนที่...ชีวิตทางสังคมเราถูกกร่อนไปอย่างน่าเสียดาย
* เราหลงลืมอะไรหรือเปล่า?
* เวลามีอยู่เท่าเดิม ...แต่ทำไมรู้สึกว่าเวลาน้อยลง
* เรามีเวลาคุยกันบ้างไหม?
ชีวิตที่เร่งรีบ จนลืมฟังเสียงหัวใจตนเอง..
ถามตัวเองว่ามีความสุขหรือเปล่า?? กับ "การเป็นอยู่" ของวันนี้
"...สุดท้าย
เราต้องรู้ให้ได้ว่าเราทำอะไร...เพื่ออะไร..จุดมุ่งหมายเราคืออะไร...แล้ว
คอยเช็คเข็มทิศหัวใจอยู่ตลอดเวลา
ว่าเรากำลังทำในสิ่งที่หัวใจเราบอกหรือเปล่า..ไม่กลับไปเลือกในสิ่งที่คน
อื่นอยากให้เราทำ เพราะสุดท้ายก็ไม่เจอความสุขที่เราต้องการ... " (เข็มทิศหัวใจ,ศิริรัตน์ ณ พัทลุง ต.สุวรรณ)
ขากลับบ้าน ...รถรับจ้าง พาขึ้นทางด่วนเพื่อประหยัดเวลา
รถ
รับจ้าง...อัตราเร่งสูง
และบรรยากาศสำหรับคนแปลกหน้าทั้งหลายในรถรับจ้างก็เงียบงันเหมือนเดิม
หลายคนเลือกที่จะหนีความเงียบที่อึดอัดนั้น
ยัดเยียดความเป็นส่วนตัวผ่านหูฟังเครื่องเล่นเพลงชิ้นจิ๋ว
และพร้อมที่ก้าวไปสู่โลกส่วนตัวในทันที
ข้างหน้า...มีแสงไฟกระพริบ พราว... เป็นสัญญาณแสดงถึง “อุบัติเหตุบนทางด่วน...”
ผมไม่อยากจินตนาการเลยว่า อัตราเร็วเกินกว่าปกติของการวิ่งรถบนทางด่วน หากเกิดอุบัติเหตุแล้วนั้น จะรุนแรงเพียงใด?
ไม่ต่างอะไรกับชีวิตด่วนๆของเรา คราพลาดพลั้งไป ก็บาดเจ็บรุนแรง
จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร
นนทบุรี
๑๑ ก.พ.๕๒
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น