วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

แอ่วเมืองน่าน ถิ่นสวยงามนาม...นันทบุรีนคร


จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร



รถวีไอพี ๒๔ ที่นั่งจากเวียงพิงค์ สู่ นันทบุรีนคร ในค่ำคืนที่หนาว

เพราะเเอร์ที่ดูฟุ่มเฟือยของรถสีเขียว ผมตื่นเต้นพอสมควร เพราะเป็นการเดินทางไปน่านครั้งแรกในชีวิต และถึงน่านในเวลากลางคืนด้วย

ผมทราบชื่อที่พักจากพี่สาวโอปอ และทวนขึ้นใจ "ศศิดารา"  ชื่อไพเราะ น่าตาก็คงสวย จากแพร่เพียงร้อยกว่าโล แต่ระยะทางดูเหมือนไกลมากในความคิดผม อาจเป็นเพราะใจที่จดจ่อให้ถึงเร็วก็เป็นได้
สามทุ่ม...
รถสีเขียวจอดนิ่งสนิทที่สถานีขนส่งน่าน ผมอ่านจากป้ายยามค่ำคืน ไม่ดึกมากแต่ดูเหมือนจะเงียบเชียบ ไม่ค่อยมีผู้คน ไม่น่าเชื่อว่าเวลาขณะนี้สามทุ่ม ผู้คนก็เงียบงันไปหมด พร้อมทั้งรถรับจ้างก็เหมือนจะมีเพียงสองแถวสองคันที่รอรับผู้โดยสารอยู่
น้องเรียกรถเข้ามาเลยนะคะ บอกว่ามาที่ "ศศิดารา  รีสอร์ท" พี่สาวโทรย้ำอีกครั้งในช่วงผมเดินขึ้นรถที่สถานีเชียงใหม่
"หาอะไรทานมาเลยนะคะ" เธอโทรมากำชับให้ผมจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อนเข้ารีสอร์ท
เสียงโทรศัพท์นั้นยังชัดเจนเหมือนเพิ่งวางสาย
ผมเรียกรถสองแถวได้หนึ่งคัน ดูเหมือนจะติดเครื่องรอผมตัดสินใจ เมื่อผมถามราคาที่จะไปที่หมาย พี่บอกว่าไม่ไกลหลังสถานีขนส่งเอง แต่ทำไมคนขับรถเรียกผมแพงนัก เขาเรียกค่าโดยสารหนึ่งร้อยบาท...ผมเห็นว่าไม่มีรถแล้ว และดูเหมือนไม่มีทางเลือก ก็เลยตกลงในราคาที่เสนอข้างต้น
ผมยื่นข้อเสนอกับคนขับรถด้วยว่า ขอจอดร้านก๋วยเตี๋ยวสักหน่อยเถอะ...เพราะตั้งแต่ขึ้นรถก็ไม่ได้ทานอะไร ผมหิวมั่กๆครับ!!!  เจ้าของรถก็ใจดีจอดให้ผมจัดการกับก๋วยเตี๋ยวควันฉุย เหลือบตามองชื่อร้านเป็น "ก๋วยเตี๋ยวพิจิตร" แต่ทำไมมาขายที่น่านหว่า???
ผมจัดการไปสองชามครับ โทษฐานที่ขายข้ามจังหวัด
จากร้านก๋วยเตี๋ยวเข้าไปในซอย เขาน้อยอีกประมาณหนึ่งกิโลก็ถึง..ทำไมแป๊บเดียว ก้อต้องแปบเดียวครับ เพราะสองกิโลเมตรจากสถานีขนส่งถึงรีสอร์ท ที่นี่คิดค่าโดยสารกิโลเมตรละห้าสิบบาท... ตามจริงไม่เสียดายเงินหรอกครับ แต่การคิดราคาที่ไม่สมเหตุผลนี่ ไม่ค่อยชอบครับ
เริ่มต้นก็ไม่ประทับใจเลย...
รถจอดหน้ารีสอร์ท พี่ยามกับน้องรีเชฟชั่น เข้าใจว่ารอการมาของผมด้วย เพราะน้องรีเชฟชั่นเธอเดินตรงมาที่รถ แล้วถามชื่อผม พร้อมพี่ยามเข้ามายื้อเอาเป้ใบใหญ่ผมไป...รู้สึกดีจัง ดูเหมือนทุกคนใส่ใจดูแล ลืมความขุ่นมัวเรื่องค่าโดยสารไปบ้าง...
ผมรับกุญแจพร้อมเอกสารที่พี่โอปอฝากให้ที่หน้าเคาเตอร์ เดินเข้าห้องพัก ๒๑๒
พอเปิดห้องเสียบกุญแจเท่านั่นหละครับ  ไฟอัตโนมัติเริ่มทำงาน แสงไฟทุกดวงสว่างพรึ่บ สภาพห้องที่ผมเห็นสร้างความตะลึงตะลานให้ผมมาก...ห้องสวยมากครับ

ทุกมุมเจ้าของรีสอร์ทได้ใส่ใจในรายละเอียด การวางไฟที่เหมาะเจาะ สิ่งของที่ดูคลาสสิค อันทิคที่ดูร่วมสมัย ภาพหัวเตียงเป็นภาพวาดสีน้ำมันถอดแบบมาจากภาพผนังของวัดภูมินทร์(ผมจำผ่านหนังสือ) ดูสลักกลอนประตูห้องน้ำนั่นสิครับ ...ชอบมากครับ สลักไม้แบบโบราณ ผมเคยพักห้องพักลักษณะคล้ายกันนี้ที่หัวหินมาครั้งหนึ่ง...ครานั้นก็ประทับใจมากเช่นกัน

ผมวางเป้ทั้งสองใบลง เดินชมห้องอย่างหลงไหล หยิบกล้องคู่ใจถ่ายตามมุมต่างๆ สีของไฟสวยมากเมื่อกระทบกับผนังห้องสีเบจ ตัดด้วยเฟอร์นิเจอร์สีเข้ม กรอบประตูสีแดงชาดแบบไม้เก่า...
ณ ตอนนี้ผมลืมความขุ่นมัวเรื่องราคาค่าโดยสารสองแถว..ไปหมด
มีความสุขจริงๆครับ และผมต้องนอนในห้องนี้ เสียดายว่าต้องตื่นเเต่เช้ามากเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้น หากมาเที่ยวผมคงนอนโอ้เอ้ในห้องสวยๆนี้ให้นานๆ
ยามเช้าอากาศที่นี่ไม่หนาวมาก อากาศกำลังดี ทางทิศตะวันออกของที่พัก พระอาทิตย์กำลังสวยทีเดียว แสงนวลกำลังหยอกล้อกับอากาศเช้าตรู่ของที่นี่ ...ทำให้ผมรู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก
รถจาก สสจ.น่าน มารับตรงเวลา พาผมและคณะออกจากรีสอร์ทช้าๆ ผมสำรวจเส้นทางผ่านกระจกรถ ช่วงเช้าไม่ค่อยมีรถพลุกพล่านมาก ผู้คนกำลังเดินทางไปทำงาน บรรยากาศที่เรื่อยๆแบบนี้ เราเห็นได้ในต่างจังหวัดทั่วไป
รถของเราเลี้ยวเข้าวัดอรัญญาวาส เป็นสถานที่จัดงาน พี่น้องชาวบ้านมากับมากมายแล้ว กำลังดูแลบูธนิทรรศการกันอย่างขมีขมัน ในขณะเดียวกันผู้เข้าร่วมเวทีก็ทยอยกันมาเรื่อยๆ บรรยากาศ พร้อมเรื่องราวในเวทีผมขอยกไปนำเสนอที่ Blog ครับ
ผมมีเพื่อนฝูงที่น่านพอสมควรเลยครับ ที่ในงานนี่เองก็มีโอกาสได้เจอเพื่อนท่านหนึ่ง เคยเรียนปริญญาโทด้วยกัน เข้ามาร่วมงานนี้ด้วย เป็นโอกาสที่ดีหลังจากที่เรียนเสร็จก็ต่างแยกย้ายกันทำภารกิจหน้าที่ของตนเอง และเงียบหายไป ทั้งเราและเขา...เพื่อนผมท่านนี้อายุมากกว่าผมครับ ชื่อ "พี่หน้อย" เป็นสาวพยาบาลจากโรงพยาบาลน่าน สวยและใจดี และคนนี้หละครับที่พาผมหนีออกมาจากงานในช่วงพักเที่ยง ...ด้วยว่าผมอยากไปถ่ายรูปที่วัดภูมินทร์เหลือเกิน
และผมก็ได้ไปตามใจประสงค์ครับ
พี่หน้อยพาผมไปชิมก๋วยเตี๋ยวอร่อย "ผินผิน" ลูกชิ้นทำเอง ชามโตๆน้ำซุปหอมหวาน พุงกางเลยครับ เสร็จจากการกินแล้วจุดหมายต่อไปของผมคือ วัดภูมินทร์ เราขับรถตรงไปไม่รีรอ ในรถพี่หน้อยก็บรรยายเรื่องราวของเมืองน่านให้ฟังตลอดเวลาที่เราผ่านสถานที่สำคัญ...ผมตื่นตาตื่นใจกับภาพที่เห็น กับถ้อยคำที่บรรยายจากคนท้องถิ่น
ผมกดชัตเตอร์ไม่ยั้งในวัดภูมินทร์ พี่หน้อยก็บรรยายเรื่อยๆ ถึงรูปภาพของผาผนังที่ผมเคยเห็นแต่ในรูป วันนี้ผมดีใจที่ได้มีโอกาสมาชมเป็นบุญตา...เป็นบุญจริงๆครับ

เราไปกันต่อที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ จ.น่าน โดยพี่หน้อยขับรถไปรอที่หมายก่อนแล้ว ผมเดินออกจากวัดภูมินทร์ ตรงไปที่พิพิธภัณฑ์ ก่อนจะข้ามถนน ผมยืนหลับตาชั่วครู่ ผมมีความรู้สึกในจินตนาการว่า ผมอยู่ท่ามกลางเมืองที่มีอารยธรรม ศิลปะที่รุ่งเรือง ผมเห็นวัดวารอบทิศ ผมเห็นเหมือนตัวเองย้อนไปในอดีต...ทำเอาขนลุกชันเหมือนกันครับ

ที่พิพิธภัณฑ์ฯ ห้ามถ่ายรูปด้านใน แต่อยากบอกว่าสวยงามและทรงคุณค่า เป็นสถานที่น่าภาคภูมิใจอย่างมากสำหรับคนเมืองนี้ งาช้างดำ ผมก็ได้เห็นช่างเป็นวาสนาเสียเหลือเกิน
สิ่งที่น่าสลดใจก็คือพระพุทธรูปทรงเครื่องประทับยืน ไม้ลงรักปิดทองศิลปะล้านนา ที่มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๔ อันเป็นสมบัติของวัดบุญยืน ถูกโจรใจบาปลักขโมยไปทั้งสององค์...
เหลือเวลาอีกไม่มาก ผมต้องรีบเข้าร่วมเวทีภาคบ่าย เรามุ่งหน้าต่อไปยัง วัดพระธาตุแช่แห้ง ...ที่นี่ผมต้องมาครับ หากมาเยี่ยมน่านแล้วไม่ได้มาที่วัดนี้ จะมาถึงได้อย่างไร?? แสงแดดที่ร้อนจนผมแทบเป็นจุณได้นั้น ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับผมเลย ภาพพระธาตุแช่แห้งอร่ามตา โดดเด่น เป็นสง่า สวยงามยิ่งนัก ...
ผมเลือกมุมที่สวยเพื่อถ่ายรูป ไม่รอช้าเดินเข้าไปในศาสนสถานเพื่อถ่ายวิหารสามชั้น ศิลปล้านนาอันงดงาม
ความประทับใจในช่วงเวลารีบด่วนของการหยุดพักช่วงกลางวันของเวที "ชุมชนน่าอยู่น่าน" แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ไม่น่าเชื่อว่าผมสามารถเก็บความประทับใจ เก็บภาพสวยงามได้ในส่วนของสถานที่สำคัญๆได้ อย่างไม่น่าเชื่อ

ผมกลับไปถึงวัดอรัญญาวาส งานเวทีภาคบ่ายก็ยังไม่เริ่ม..

ผมทำเวลาได้ดีจริงๆ



ไม่มีความคิดเห็น: