วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

คนเราทุกข์กันคนละเเบบ

คนเราทุกข์กันไปคนละแบบ...

ตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร



เธอ...นั่งอยู่ใต้สะพานข้ามถนนวิภาวดี ในระยะไม่ถึงสามสิบเมตร ผมเห็นสายตาเธอแอบมองผมอยู่ก่อนแล้ว

ใต้สะพานข้ามทาง ต้นไม้ครึ้ม ถือจุดที่ลับตาพอสมควร สายตาเธอจับจ้องผมจนผมรู้สึก ผมคงเป็นเป้าหมายสักอย่างของเธอแน่ๆ

เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้...(ผมรู้สึกหวาดๆอยู่บ้าง) ขณะที่จะเดินขึ้นสะพานเพื่อข้ามไปอีกฝั่งของถนน

เธอ...รีบเดินมาประชิดตัว

“พี่คะ...หนูขอเงินสักสิบบาท!!! ได้ไหมคะ ไม่มีค่ารถกลับบ้าน”

ในระยะประชิดทำให้ผมได้มองเห็น เธอได้อย่างชัดเจน

เธอ...ผู้นั้นน่าจะเป็นสาวประเภทสอง ที่มีลักษณะเป็นผู้หญิงค่อนข้างมาก ร่างผอมบาง มีหน้าอก ดูจากรูปร่างก่อนหน้านั้นเธอน่าจะเป็นคนสวยพอสมควรเลยทีเดียว

แต่สภาพวันนี้ เธอดูทรุดโทรม ปากแห้งผากที่ทาลิปสติกสีแดง หรือว่าปากเธอแตกเป็นร่องและมีเลือดไหลซึม ผิวพรรณยังดูเนียนคล้ายหญิงสาว มีตุ่มขนาดใหญ่ หลายเม็ดผุดขึ้นบริเวณแขนข้างหนึ่งของเธอ

...ท่าทางเธอคงกำลังไม่สบาย

สายตาเธอคู่นั้น ดูเศร้าสร้อยเสียเหลือเกิน...

ผมติดอยู่ในภวังค์...กำลังคิดว่าจะรีบเดินจากไป หรือจะหยุดเพื่อจะหยิบเงินให้เธอ

เสียงในใจบอกว่า...ช่วยเธอเถอะ..!! หากเรายังพอช่วยเหลือเธอได้บ้าง...

ผมหยิบเงินให้เธอ เธอไหว้ขอบคุณ แล้วกลับลงไปนั่งที่ฟุตบาธเหมือนเดิม

ผมเดินขึ้นสะพาน ยังแอบมองเธออยู่ไกลๆ เธอยังคงต้องขอเงินอีกสักพัก หากครบจำนวนที่เธอต้องการเธอก็คงไป...(ไหนไม่รู้)

ผมรู้สึกสลดใจในชะตากรรมของเพื่อนร่วมโลกที่เจอตลอดเวลาที่อยู่ในเมืองหลวงที่มีทุกอย่างพร้อมพรัก ชีวิตของผู้คนที่นี่หลากหลาย และแตกต่างกันราวฟ้าและดิน มีให้เห็น ให้เรียนรู้

หลายครั้ง...ผมรู้ว่าโดนหลอกบ้าง จากการที่ให้เงินผู้คนที่ขอเงินรายทาง...แต่ก็ให้ไป ให้ไปเพราะไม่ได้คิดอะไรมากมายก็แค่แบ่งปัน…ไม่เป็นไร

ก็ยายแก่ๆที่ป้ายรถเมล์ที่ศาลายา นั่นยังไงเล่า...

ยายทำเป็นวนเวียน ถามเส้นทางใครหลายๆคน พร้อมกับบอกว่า ไม่มีเงินพอ จากนั้นก็จบลงด้วยการให้เงินยายเป็นค่ารถ...

เวลาผ่านไปอีกไม่นาน...ยายคงจำผมไม่ได้แล้ว

วันหนึ่งยายมาประชิดตัวผมเหมือนเคย ยายเอ่ยปากไถ่ถามเส้นทางเดิมๆ จบลงตรงประโยคที่ว่า “ยายเงินไม่พอ ขอเงิน”

ในใจตอนนั้นรู้สึกหงุดหงิดในใจขึ้นเล็กน้อย...แต่เมื่อมาคิดทบทวนหลายครั้ง...ไม่มีใครที่อยากใช้ชีวิตเช่นนั้น ไม่มีใครอยากจะแบกหน้าแบมือขอเงินจากใคร ...เหมือนกับ ว่ามีเหตุ มีปัจจัย ที่เราอาจไม่ได้ฟังจากปากของพวกเขา...

โอ...ชีวิต มันยิ่งกว่านิยายเสียอีก

ไม่มีใครที่อยากมีชีวิตแบบนั้น...คนเราต่างก็ทุกข์กันคนละแบบ

วันนี้ขอทำหน้าที่มนุษย์ของตนเองให้ดีที่สุดครับ

หากไม่มีอะไรที่เดือดร้อนตัวเองมาก การแบ่งปันไม่ว่าเงื่อนไข และเหตุผลใด เราพอทำได้ เราก็ทำ ทำในหน้าที่ในฐานะมนุษย์ที่ว่ายเวียนบนกองทุกข์ที่ดีที่สุดแล้ว...ในเวลานั้น

ไม่มีความคิดเห็น: